อุตสาหกรรมสิ่งทอเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อประเทศไทย เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่ทำรายได้ให้กับประเทศไทยเป็นจำนวนมาก และรัฐบาลได้กำหนดนโยบายในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยมีอุตสาหกรรมสิ่งทอเป็น 1 ใน 5 อุตสาหกรรมหลักที่รัฐบาลให้ความสนใจ ขณะเดียวกันปัญหาสิ่งแวดล้อมจะต้องมีการพิจารณาร่วมไปกับการพัฒนาอุตสาหกรรม
น้ำเสียจากกระบวนการทางสิ่งทอของโรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงงานฟอกย้อมมีองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับการผลิตคือ วัสดุ (เส้นใย เส้นด้าย ผ้า) ตัวกลาง (น้ำ) สี และสารเคมี (ได้แก่โซเดียมซัลเฟต กรดอะซิติก โซเดียมไฮดรอกไซด์ สารช่วยชนิดต่างๆ) ซึ่งในแต่ละขั้นตอนของการผลิตจะมีการใช้น้ำเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้น้ำเสียจากกระบวนการผลิตจะมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับวัตถุดิบและกระบวนการที่ใช้ มลพิษที่เกิดขึ้นจากโรงงานฟอกย้อม ประกอบด้วย
สี ที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรมที่ย้อมผ้าฝ้ายหรือผ้าฝ้ายผสมเส้นใยสังเคราะห์ จะใช้สีย้อมชนิดต่างๆคือ สีดีสเพอร์ส สีแอซิด สีไดเร็กท์ และสีรีแอคทีฟ
ค่าความเป็นกรด-ด่างของน้ำ จะขึ้นอยู่กับสภาวะในการทำความสะอาดการฟอกขาว การชุบมัน และการย้อมสี น้ำเสียส่วนใหญ่ในโรงงานฟอกย้อมจะมีสภาพเป็นด่าง เนื่องจากเกือบทุกกระบวนการของการฟอกย้อมจะมีการใช้ด่าง
ปริมาณบีโอดี คือประมาณออกซิเจนที่แบคทีเรียต้องการใช้ในการย่อยสลายสารอินทรีย์ในน้ำ ถ้าบีโอดีมีค่ามากแสดงว่าในน้ำมีสารอินทรีย์ปนเปื้อนอยู่เป็นจำนวนมาก แป้ง โปรตีน และสารอินทรีย์ที่มีการใช้ในการกระบวนการทางสิ่งทอ จะถูกกำจัดออกไป และปะปนอยู่ในน้ำเสีย ทำให้ค่าบีโอดีเพิ่มขึ้น
ปริมาณซีโอดี การบอกคุณภาพน้ำ อาจบอกได้โดยค่าความต้องการออกซิเจนในทางเคมี ซึ่งหมายถึงปริมาณออกซิเจนที่ต้องการใช้ในการออกซิไดซ์สารอินทรีย์ โดยใช้สารเคมีซึ่งมีอำนาจในการออกซิไดซ์สูง และ 5.ของแข็งแขวนลอย ของแข็งแขวนลอยในน้ำ เช่น เศษเส้นใยโอลิโกเมอร์ที่หลุดออกจากเส้นใย
ปัจจุบันอุตสาหกรรมสิ่งทอกำลังประสบปัญหาที่ทำให้เกิดมลภาวะทางน้ำ เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่มีการใช้น้ำในปริมาณสูง มีของเสียเกิดขึ้นมากในขั้นตอนต่างๆของกระบวนการผลิต และมาตรฐานน้ำทิ้งที่รัฐบาลกำหนดมีความเข้มงวดมากขึ้น ทำให้โรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอจำเป็นต้องพัฒนาระบบการบำบัดน้ำทิ้งให้มีประสิทธิภาพในการกำจัดสีจากน้ำทิ้งโดยใช้โคโตซาน ดังนั้นสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) จึงได้สนับสนุนให้นางสาวบุญศรี คู่สุขธรรม จากแผนกวิชาเคมีสิ่งทอ คณะวิชาอุตสาหกรรมสิ่งทอ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตเทคนิคกรุงเทพฯ พัฒนา "โครงการการศึกษาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการกำจัดสีในน้ำทิ้งจากอุตสาหกกรรมสิ่งทอ" โดยพบว่าน้ำทิ้งที่ผ่านการบำบัดถูกนำมาวิเคราะห์สีในน้ำ การวัดค่าความขุ่น การวิเคราะห์ของแข็งทั้งหมด ของแข็งแขวนลอยทั้งหมด ของแข็งละลายน้ำ การวิเคราะห์ปริมาณบีโอดี ซีโอดี และการวิเคราะห์ปริมาณอะลูมิเนียม ซึ่งผลการศึกษาพบว่า เกลือไฮโดรโบรไมด์ของไคโตซานและไคโตซาน-พอลิอะคริลาไมด์ สามารถกำจัดสีในน้ำทิ้งที่เตรียมจากห้องปฏิบัติการได้ โดยสีที่ถูกกำจัดได้ดีที่สุดคือ สีไดเร็กท์ ส่วนสีที่จำกัดได้น้อยคือ สีดีสเพอร์ส สีแอซิด และสีรีแอคทีฟ
นางสาวบุญศรี กล่าวว่าการใช้ไคโตซานร่วมกับสารส้มจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการกำจัดสี โดยอัตราส่วนที่เหมาะสมในการกำจัดสีของสารส้ม : ปูนขาว : เกลือไฮโดรโบรไมด์ของไคโตซานคือ 1:2:0:2 ส่วนอัตราส่วนที่เหมาะสมในการกำจัดสีของสารส้ม :ปูนขาว : ไคโตซาน-พอลิอะคริลาไมด์คือ 1:2:2 และการใช้สารส้มร่วมกับเกลือไฮโดรโบรไมด์ของไคโซซานจะให้ประสิทธิภาพในการกำจัดสีในน้ำทิ้งจากห้องปฏิบัติการดีกว่าการใช้สารส้มร่วมกับไคโตซาน-พอลิอะคริลาไมด์ ส่วนการกำจัดสีรีแอคทีฟพบว่า เกลือไฮโดรโบรไมด์ของไคโตซานจะให้ประสิทธิภาพในการกำจัดดีกว่าการใช้สารละลายไคโตซานในกรดอะซีติก และไคโตซานในรูปผง
ทั้งนี้ ปัจจุบันประเทศไทยมีการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งมากขึ้น ปัญหาที่ตามมาคือ ทำให้ปริมาณหัวกุ้ง และเปลือกกุ้งมีมากขึ้น การนำเปลือกกุ้งมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตไคติน และอนุพันธุ์ของไคตินคือ ไคโตซานจะเป็นแนวทางหนึ่งในการใช้ประโยชน์และเพิ่มมูลค่าให้กับของเหลือทิ้ง เพราะไคโตซานมีโครงสร้างคล้ายคลึงกับเซลลูโลสมีสมบัติในการดูดจับสีย้อมได้ดี จึงสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการกำจัดสีย้อมจากน้ำทิ้งในอุตสาหกรรมสิ่งทอได้
อย่างไรก็ตาม พีเอชที่เหมาะสมในการกำจัดสีในน้ำทิ้งที่สุ่มตัวอย่างจากโรงงานอุตสาหกรรม โดยใช้สารตกตะกอนทางการค้าคือ พีเอช 6 โดยปริมาตรที่เหมาะสมที่สุดของสารตกตะกอนทางการค้าในการกำจัดสีคือ ปริมาณสารตกตะกอนทางการค้า 1.5 มิลลิลิตรต่อน้ำเสีย 25 มิลลิลิตร และการใช้สารตกตะกอนประเภทต่างๆคือ สา |